เคยอ่าน e-mail fw>>> ฉบับนึง
.
.
คุณครูเคยสอนนักเรียนคนนึง เอาไว้ว่า
“ความเกลียด” ก็ไม่ต่างจากการเอาผลไม้ซักลูกมาผูกติดกับตัวเอง
.
.
ผูกติดชนิดที่เรียกได้ว่า ห้ามเอาออก
ไม่ว่าจะไปไหน มาไหน ทำอะไร กิน - ขี้ – ปี้ - นอน ZZzzz…
((เอ่อ....เด็กนักเรียน ไม่ต้องปี้ ก็ได้มั้ง ยังเด็กอยู่))
ก็ต้องผู้มันไว้กะตัวตลอดเวลา
.
.
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็ห้ามทิ้ง
มันจะเน่า เหม็นยังไง ก็ห้ามทิ้ง
.
.
เด็กเลยถามว่า “ครู ((มรึง)) สอน ((เหี้ย)) อะไร((กรุ))เนี่ย”
**หมายเหตุ คำในวงเล็บกรุเติมเอง แหะๆ ^^ **
.
.
คุณครูเลยบอกว่า
ก็ “ความเกลียด” ของเรา
ก็ไม่ต่างอะไรจากผลไม้ลูกนั้นหรอก
ถ้าเราไม่รู้จักละทิ้ง “ความเกลียด” ออกไปจากใจ
มันก็จะติดที่ตัวเราตลอดไปเช่นกัน
.
.
นานๆเข้า “ความเกลียด” ก็เป็นแค่ “เศษขยะ”
ถ้าไม่ทิ้งมันไปซะ เราก็จะเหมือนเอา “เศษขยะ” ผูกติดตัวไว้ ตลอดเวลา
.
.
แต่ถ้าเราไม่ยึดติดกับ “ความเกลียด” เราก็จะโล่งสบาย
ไม่มี “เศษขยะ” ในใจ ให้รกรุงรัง อีกต่อไป
.
.
อืม...อ่านแล้วก็ทำให้คิดได้เยอะ
เออ...เว้ย!!! มันเป็นอย่างนั้นจริงแหละ
.
.
“ความเกลียด” ไม่เคยสร้างสรรค์ จรรโลงโลกเลยซักนิด
รังแต่จะทำให้เราจิตใจตกต่ำ
.
.
แต่ถึงกระนั้นก็เหอะ
คนเรา มันก็เป็นแค่มนุษย์ ยากนักที่เราจะเลี่ยง “ความเกลียด” ได้
.
.
พิมเองก็เช่นกัน
พิมเกลียดหลายสิ่งหลายอย่าง
คน พืช สัตว์ สิ่งของ
อันไหน สิ่งไหน ที่เกลียด ก็เกลียดแมร่งหมดแหละ
.
.
บางครั้งสิ่งที่เกลียด ก็ยากที่จะเลี่ยงไม่ปะทะได้
.
.
มีสิ่งเดียวที่ทำได้คือ “เผชิญหน้า”
((พูดเหมือนต้อง ออกรบ ไงไม่รู้ -_-“ ))
.
.
แต่ก็นั้นแหละ เราไม่ได้เผชิญหน้ากะอะไรหรอก
แต่เรากะลัง เผชิญหน้า กะสิ่งที่เรา เกลียด ตะหาก
.
.
“ความเกลียด” อย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ เวลานี้คือ “เกลียดคน”
.
.
ในขณะที่วัยรุ่นหนุ่มสาว สมัยนี้กำลังคลั่งไคล้กระแส K
.
.
แต่พิมเอง ไม่หรอก ไม่ใช่พิมคนเดียวหรอก
ต้องเรียกว่า คนทั้งออฟฟิศ พิมตะหาก
พวกเรากลับรู้สึก “ยี้” กะทุกสิ่งอันที่เป็น K มากๆ
โดยเฉพาะ “คน”
.
.
ไม่ว่าจะทัศนะคติ การทำงาน มุมมองความคิด วิสัยทัศน์
หรือทุกๆสิ่งอันของคนพวกนี้
.
.
ล้วนแล้วแต่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เหยียดชนชั้น
โกงกิน คิดหาแต่ประโยชน์ส่วนตน ดูถูกคน
เสียงดัง โวยวาย สถุล งก แล้งน้ำใจ
ช่างประจบสอพลอ ((คนที่เป็นนาย))
หลอกลวง เอาแต่ใจ ช่างติ พูดอะไรไม่รู้จักคำว่าถนอมน้ำใจ
ดีแต่ปาก ชุ่ย พร้อมที่จะหมกเม็ดทุกสิ่งอัน เพื่อผลประโยนช์ตนเองตลอดเวลา
ไม่มีคำว่า ยุติธรรม และ.....
>.< บลา บลา บลา
.
.
ทำไมหนอ ทำไมพิมช่างสรรหา ((ห่า)) อะไร มากล่าวโทษเค้า
ไม่หรอก พิมไม่ได้กล่างโทษหรอก
แต่มันคือสิ่งที่พวกเราคิดเห็นว่าใช่ ((ลองรวบรวมจากการสอบถามคนทั้งออฟฟิศมาแล้ว))
.
.
4 ปี ของการทำงานที่นี่
4 ปี ของการเผชิญกับสิ่งเลวร้ายจากก้นบึ้งของคนพวกนี้
4 ปี ของการดิ้นรนเอาตัวรอด
4 ปี ของการเจอกับ 3 generations เลว เล๊ว เลว
4 ปี ที่ต้องเจอทั้งคนใน และคนนอกที่เป็น K
.
.
คงพอจะทำให้คุณรู้ได้ว่า
พิมซึบซาบ ความเป็น K ในอีกมุมมองนึงได้แค่ไหน
.
.
แต่พอครั้นถามกลับมา
“แมร่ง ถ้าแมร่งเวลาร้ายขนาดนี้ แล้วพวกมรึงยังหน้าด้านอยู่กันทำไม”
.
.
ไม่หรอก ไม่ได้หน้าด้านอยู่หรอก
แต่มันไม่มีที่ไป ตะหาก 5555+
.
.
อะล้อเล่งๆ คำว่าไม่มีที่ไป คงไม่ใช่
เพราะตอนนี้เรามีตัวอย่างให้เห็นแล้ว
.
.
เรามีตัวอย่างให้เห็น ถึงคนที่โบยบินจากไปสู่ความหวังใหม่อย่างเปรมปรีด์
.
.
เราได้แต่ยิ้มและดีใจกะเค้า
((ความจริงมีอิจฉาประกอบด้วยแหละ แหะๆ))
.
.
คนที่จากไป หลายต่อหลายรุ่น ทิ้งคำๆนึงเอาไว้ว่า
“มีลูกมีหลาน บอกไว้อย่าทำงานกะคนชนชาตินี้เป็นอันขาด เข็ดจนตาย”
.
.
พิมเอง ก็เป็นคนนึง ที่บอกได้เลยว่า “เข็ด”
.
.
ตอนนี้ก็ยอมรับแหละ ไม่มีที่ไป 555+
แต่ต้องใช้คำว่าไม่มีที่ไป ที่ดีกว่านี้ไม่ได้ จะดีกว่ามั้ง
((ที่นี่ยังมีดีรึ๊????))
ก็มีนะ คิดในแง่กลับกัน
ที่นี่สอนให้เรารู้จักคำว่า “อดทน” กะสิ่งอัปมงคล
ทั้งที่เป็นรูปธรรม และนามธรรมได้อย่างดีเหลือเกิน
.
.
พิมเคย felt มากๆกะบางสิ่งบางอย่างที่นี่
((ไม่หรอกไม่ใช่พิมคนเดียว))
เราเคยได้รับความรู้สึกโคตรแย่มากๆ
เราเคยเสียน้ำตา เราเคยเสียน้ำลาย เราเคยเสียความรู้สึก
เราเคยเสีย self
แต่....เรายังอยู่
.
.
_*_ อืมนั่นสิ ทำไม ทำไมเรายังอยู่
เพราะเราไม่มีที่ไปเหรอ ก็ทั้งใช่และไม่ใช่
เพราะเราลองเปรียบเทียบแล้วที่นี่เรายัง “ทน” อยู่ได้อีก
.
.
และที่สำคัญ เราต้องอยู่ไปพร้อมกับคำว่า “เกลียด” งั้นหรือ
คำตอบคือ “ใช่!!!”
.
.
Y^Y ทำไมชีวิตน่าเศร้าและน่าเอน็ดอนาทใจขนาดนี้หนอ
.
.
วันนี้พิมมาเขียนถึงเรื่องชีวิตที่ต้องเผชิญกับวิบากรรมแต่เช้า
เพราะพิมอึดอัด และอยากระบาย ก็แค่นั้น
ทำไมเหรอ หรือพิมเขียนมันไม่ได้หรือไง
.
.
จะมีใครรู้หนอ กระแส K ที่พวกเด็กๆคลั่งนักหนา
อีกมุมนึง ยังมีอะไรที่เลวทรามซ่อนอยู่
.
.
ที่เขียนมาทั้งหมด ไม่ได้กล่าวโทษเหมารวม
คนทุกคนมีทั้งคนดีและคนไม่ดี
((แต่ให้ตายเหอะ พวกนี้ ที่กรุซวยเจอ แหมร่งหาดีได้ยากจริงๆ))
.
.
บางทีก็มามองว่า ทำไมว่าแต่เขาไม่ดูหัวกะลาเงาตัวเอง
นี่แหละ ตอนนี้กะลังดูอยู่ และรู้ตัวเอง มีสติสัมปชัญญะอย่างที่สุดว่า
“ความเกลียด” มันก็เหมือน “เศษขยะ” อย่างนั้นจริงๆ
.
.
หากแม้ เราละทิ้งสิ่งเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวงในจิตใจไปได้
เราคงหลุดพ้นไปแล้ว
แต่ก็นั่นแหละ เรายังไม่หลุดพ้น และยังคงวงเวียนอยู่ใน “วัฏสงสาร”
.
.
เรื่องทั้งหมดที่กล่าวมา กำลังจะบอกว่า
พิมเองก็ยินดีที่จะยังคงผูกผลไม้ลูกนั้นไว้ที่เอวตลอดไป
.
.
ถึงมันจะเน่า มันจะเหม็นโฉ่
มันจะน่ารังเกียจ น่าขยะแขยงแหละน่าสมเพชเวทนาแค่ไหน
.
.
แต่พิมก็รู้ตัว และยอมรับมัน
.
.
อย่าพึ่งมองเรามันอกตัญญู
เค้าสู้อุตส่าห์ให้งานทำ ยังมีหน้ามากล่าวโทษ
.
.
เปล่าเลย เรากำลังอยู่ในวงจรของคำว่า business ตะหากเล่า
.
.
เค้าจ้างเรา เราทำงานเต็มที่
((เราไม่เคยใช้คำว่า ทำงานตามเงินเดือนเลยซักครั้ง))
.
.
เค้าโยนอะไรให้ทำ เราทำอย่างไม่ปริปาก
((แต่แอบมีน้ำตาซึมเล็กน้อย Y^Y))
.
.
เค้าให้เราชงแกแฟ เราทำให้อย่างเอร็ดอร่อย
((แอบแช่งบ่อยๆให้มันท้องเสีย เหมือนกัน))
.
.
เค้าสั่งให้เราทำสิ่งใด มักมาคู่กับคำว่า ต้องทำให้ได้ออกมาดีอย่างที่สุดเสมอ
((มัดมือชกสิ้นดี))
.
.
เค้าโยนงานเพิ่มให้ แต่ไม่มีเงินเพิ่นนะ เพิ่มแต่งาน
เราก็ยอมรับมาทำ และทำให้ดีออกมาดีที่สุดอย่างนั้นจริงๆ
((ทำไป ด่าไป ก็ต้องทำ))
.
.
เค้ามักพูดกะเราสั้นๆว่า
“I know you can do it”
เราก็มักจะก้มหน้า และพูดสั้นๆตอบกลับไปว่า
“I will try my best”((ถามกรุซักคำมั๊ยว่า กรุทำได้จริงๆหรือเปล่า))
.
.
นี่ไง ทั้งหมดนี่คือข้อแลกเปลี่ยนของกันและกัน
((ช่างเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อกันจริงๆ))
.
.
เพราะฉนั้น มันก็สมควรแล้วมั้ง
ที่เราจะพ่วง ผลไม้ ลูกนั้นไว้ด้วย
.
.
เอาไว้เตือนสติ เอาไว้ตอกย้ำ เอาไว้บอกตัวเอง
เอาไว้รำลึกเสมอว่า “ความเกลียด” มันเป็นไง
สะใจว้อยยยยยยย !!!! ^^
.
.
ปล. นี่คือความจริงของโหมดชีวิตเรื่องงาน ที่ไม่มีใครรับรู้
.
ปล.1 นี่คือทุกขเวทนา ที่พิมต้องเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันตั้งแต่ 7.50-18.00 น. ของวันทำงาน
.
ปล.2 นี่คือความอึดอัด อัดอั้น เก็บกด ที่อยากระบาย
.
.
ปล.3 นี่คือความน่าอัปยศของส่วนนึงในชีวิตที่น่าอดสูสิ้นดี
.
.
ปล.4 เหนื่อยจัง
.
.